เปลี่ยนรถ
"ลมไม่ได้มีไว้เพื่อโค่นล้ม
แต่มันมีไว้ฝึกราก
ให้หยั่งลึกและมั่นคง"
ขอขอบพระคุณพี่พ้องน้องเพื่อนในโลกโซเชียลอย่างมาก หลังจากหนูส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไปได้ไม่นานก็ได้รับคำแนะนำอันประเสริฐเลิศศรีมาอย่างท่วมท้น มีบ้างประปรายที่แจ้งมาให้ทัก Inbox บอกว่าปรึกษาได้ หนูก็กลัวเป็นพี่มิจเลยยังไม่กล้าติดต่อไป คำตอบที่ได้มาอย่างท้วมท้น บ้างจะถูกต้องไหมหนูก็ไม่แน่ใจ แต่คำตอบที่ถูกใจมีเยอะเลย หนูก็พยายามนำทุกคำตอบมาร้อยเรียง เพื่อหาความเชื่อมโยง ในที่สุดหนูก็พบคำถามที่ตรงกัน มาเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด..แต่
รถยนต์รถยนต์ที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง หักเฉพาะค่าเสื่อมราคาสำหรับมูลค่ารถยนต์ส่วนที่ไม่เกิน 1.0 ล้านบาท หากมูลค่ารถยนต์เกิน 1.0 ล้านบาท ส่วนที่เกินคำนวณหักค่าเสื่อมราคาและสึกหรอ เป็นรายจ่ายทางบัญชีได้ แต่เวลาคำนวณภาษีต้องบวกกลับ ไม่แค่นั้นยังไม่สามารถนำภาษีซื้อ จากการซื้อรถยนต์มาขอคืน ไม่ว่าจะขอคืนเป็นเงินสดหรือขอคืนเป็นเครดิตก็ตาม ส่วนเรื่องที่หนูจะซื้อรถยนต์ด้วยการทำสัญญาลิสซิ่ง ทุกคนตอบตรงกันหมดว่า ทำได้ไม่มีใครห้าม ได้แต่เตือนว่าดอกเบี้ยมันแพง และจะนำมูลค่ารถยนต์มาหักค่าเสื่อมราคาและสึกหรอ เพื่อนำมาเป็น รายจ่ายทางภาษีไม่ได้ ทำได้แค่เพียงนำค่างวดหรือค่าเช่า มาหักเป็นรายจ่ายได้ปีละ 432,000 บาท
หนูเกือบไปถอยรถคันใหม่ออกมาแล้ว แต่อยู่ระหว่างหาเงินดาวน์ ซึ่งก็ไม่ยากตั้งใจว่าจะนำรถคันเก่าที่รับใช้ดูแลหนู ทั้งเรื่องงานเรื่องเที่ยวมาหลายปีไปขาย เพื่อหาเงินดาวน์แต่ไม่แน่ใจว่า ถ้าหนูขายรถยนต์จะต้องระวังเรื่องอะไร ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง แต่หนูก็คิดเอาเองว่าหนูขายรถยนต์ที่ใช้ในกิจการ ไม่ได้ทำธุรกิจขายรถยนต์ก็ไม่น่าจะต้องเสียภาษีอะไร แต่เพื่อความมั่นใจ เลยต้องมาประกาศตามหาผู้กล้าเพื่อช่วยหนูหาทางออก
หนูเพิ่มข้อมูลให้อีกนิด รถยนต์คันนี้ใช้มาเกิน 2 ปี ราคา 5 ล้านบาท น้องบัญชีบอกว่าตัดค่าเสื่อมราคาและสึกหรอไป 1.0 ล้านบาท เหลือต้นทุน 4.0 ล้านบาท แต่หนูขายได้ 2.0 ล้านบาท เท่ากับว่าหนูขายหนูก็ขาดทุน ไม่ต้องเสียภาษีหนูเข้าใจถูกต้องไหม
ขายสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มุ่งค้าหากำไร
ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ครั้งก่อนอาจจะอธิบายแล้ว แต่ยังไม่เคลียร์ขอเคลียร์กันวันนี้เลยละกันว่า การขายรถยนต์ที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ไม่ได้ทำกิจการซื้อขายรถยนต์ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จริง แต่คุณสรรพ์ท่านยกเว้นเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนนิติบุคคลวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งคือ เพื่อทำธุรกิจหรือเพื่อค้าหากำไร ดังนั้นรถยนต์ที่ใช้ในกิจการ จึงต้องนำมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย สิทธิยกเว้นจึงตกไป
จากข้อมูลที่ให้มาดูเหมือนขาดทุน เพราะขายได้ 2.0 ล้านบาท แต่ราคาทรัพย์สินที่ซื้อมา 5.0 ล้านบาท หักค่าเสื่อมราคาและสึกหรอปีละ 20% คือ 1.0 ล้านบาท เท่ากับเหลือต้นทุนอยู่ 4.0 ล้านบาทเท่ากับขาดทุน 2.0 ล้านบาท ไม่มีกำไรจากการขาย แต่จะบอกว่าไม่ต้องเสียภาษี ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เราต้องย้อนกลับไปดูกฎกติกามารยาท ที่คุณสรรพ์ท่านบอกไว้เกี่ยวกับรถยนต์นั่งรถยนต์ที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่งก่อน หากดูให้ดีจะพบว่า คุณสรรพ์ท่านกำหนดกติกาไว้ว่ารถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งเกิน 10 คน จะหักค่าเสื่อมราคาได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1.0 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เกิน 1.0 ล้านบาท หักค่าเสื่อมรคาและสึกหรอก็ไม่ได้ หักเป็นต้นทุนตอนขายก็ไม่ได้เช่นกัน
เหตุเปลี่ยน ผลก็เปลี่ยน งานนี้ราคาทุนของรถยนต์ทางภาษี ที่จะนำมาหักจากราคาขายคือ 1.0 ล้านบาท ส่วนค่าเสื่อมราคาทางภาษีสำหรับระยะเวลา 1 ปี ที่นำมาหักจากจากราคาทุนทางภาษีคือ 1,000,000 X 20% = 200,000 บาทเท่านั้น ดังนั้นต้นทุนของรถยนต์ทางภาษีที่เหลือที่สามารถนำมาหักจากราคาขายได้คือ 1,000,000 – 200,000 เท่ากับ 800,000 บาท ขาดตัว ผลข้างเคียงคือทำให้จากที่คิดว่า จะขาดทุนจากการขายรถยนต์ทางบัญชี พลิกกลายเป็นกำไรจากการขายรถยนต์ทางภาษี 2,000,000 – 800,000 = 1,200,000 บาท
กำไรจากการขายรถครั้งนี้ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ถ้าอยากออกรถใหม่อย่ารีรอ เพราะถ้ารอจนครบ 5 ปี ต้นทุนทางบัญชีจะยิ่งหมดไป ขายเท่าไหร่ก็กำไรเต็ม MAX ไม่รู้ว่ารถจะเปลี่ยนไปกี่รุ่นแล้ว
#รายจ่ายเพื่อการลงทุน #ซื้อเงินสด #ซื้อเงินเชื่อ #ค่าเสื่อมราคาและสึกหรอ #ภาษีเงินได้นิติบุคล #ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา #ลิสซิ่ง #ดอกเบี้ยเช่าซื้อ #รถยนต์ที่นั่งไม่เกิน10ที่นั่ง


ไทย
EN


