อย่าปล่อนผ่าน
วันนี้กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่อยากถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือให้ผู้คนที่ผ่านมาก่อนจะผ่านไป ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาหลังภาวะมรสุมงานสอบบัญชี เสร็จสิ้นลง หน้าที่ของผู้ทำบัญชีที่ดี คือจัดเตรียมเอกสารบัญชีส่งคืนกับลูกค้าผู้ให้ทุนในการเรียนรู้ในวิชาชีพเรา แถมค่าครองงชีพอีกบางส่วน มีหลายคนที่มีความสนใจเปิดกิจการในช่วงปลายปี หรือแม้แต่การเปิดกิจการมานานแล้ว แต่ทุกอย่างคือ ทำชงเอง กินเอง นักเลงพอ ประมาณนั้น แต่เมื่อมาถึงวันหนึ่งที่ผู้ประกอบการบอกว่า ธุรกิจจะเดินหน้าไปต่อได้ เค้าจะต้องมีฟันเฟืองในการช่วยรันธุรกิจ
เมื่อมีหนึ่งฟันเฟือง เรื่องที่ตามมาทันที คงหนีไม่พ้น ความรับผิดชอบทางกฎหมายที่มีสถานะเพิ่มเข้ามาคือ นายจ้างหน้าที่ของนายจ้างจะต้อง ขึ้นทะเบียนนายจ้างต่อสำนักงานประกันสังคม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
เมื่อขึ้นทะเบียนนายจ้างเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่พนักงานหรือที่เค้าเรียกกันว่า “ผู้ประกันตน” จะมีสิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ มากมาย (ต้วมเตี้ยมเห็น เค้าบอกว่านั้น) อันดับแรก ณ วันที่ กิจการมีสถานะเป็นนายจ้างก็คือ การจ่ายเข้ากองทุนเงินทดแทนประกันสังคม ที่ทางสำนักงานประกันสังคมจะต้องเรียกเก็บจากนายจ้าง โดยมีอัตราการเรียกเก็บไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจว่ามีความเสี่ยงในการทำงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งส่วนนี้จะแยกออกจากเงินสมทบประกันสังคม ที่นายจ้างจะต้องรับผิดชอบให้ลูกจ้างครึ่งหนึ่ง และลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) จะต้องรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่ง
มีคำถามต่อมาว่า แล้วนายจ้างจ่ายเงินกองทุนทดแทนได้ที่ไหน ง่ายเลย ยุค 5.0 นี้เราสามารถจ่ายผ่านธนาคารต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม หรือหากไม่ต้องการเสียเวลา ณ วันที่ไปยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนนายจ้างก็ให้เตรียมสำรองเงินไปด้วย เพื่อจ่าย ณ สำนักงานประกันสังคมเลยก็ได้เช่น
คำถามที่ 2 ที่พบบ่อยคือ เงินสมทบจะต้องจ่ายเมื่อไหร่ ที่ไหน สำนักงานประกันสังคมยุค 5.0 ก็อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการเหมือนกัน เมื่อท่านขึ้นทะเบียนนายจ้างแล้ว ท่านสามารถที่จะติดต่อทำเรื่องยื่นแจ้งพนักงานเข้า -ออก และยื่นแบบนำส่งเงินสมทบประกันสังคม ผ่านทางระบบออนไลน์ก็ได้เหมือนกัน และนำใบจ่ายชำระนี้ไปยื่นจ่ายตามเคาเตอร์เซอร์วิสของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานประกันสังคม
อีกคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยและแต่สิ่งที่พึงระวังก็คือ ค่าจ้างที่นำมาหัก เงินสมทบประกันสังคมและนำส่งให้กับผู้ประกันตน ณ วันสิ้นเดือน มีหลายที่ประสบปัญหานี้มา และทำให้ต้องยื่นแบบเพิ่มเติมเข้าไปใหม่ สิ่งที่ตามมาก็คือ เกิดเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 2 ของเงินค่าจ้างแถมคูณด้วยจำนวนเดือนที่ส่งขาด อย่างที่กล่าวไว้ในบกก่อนว่า ค่าจ้าง คือ เงินเดือน, ค่าแรง, ค่ากะ, ค่าโทรศัพท์ที่เหมาจ่ายให้พนักงานทุกเดือน, ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำมันรถ, ค่าเดินทางที่ได้รับประจำสม่ำเสมอในการเดินทางมาทำงาน รวมทั้งค่าแรงจูงใจต่างๆ ที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน ให้ถือเป็น ค่าจ้าง ที่จะต้องนำมารวมคำนวณเพื่อนำส่งเงินสมทบประกันสังคมด้วย เช่น เงินเดือน 15,000 บวก ค่าเช่าห้อง 3,500 บวก ค่ากะ 5,000 บวก ค่าโทรศัพท์ อีก 1,000 รวมเป็นค่าจ้างสุทธิ 24,500.- ค่าจ้างที่จะต้องนำมาคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ขั้นต่ำ 1,650 และ สูงสุดไม่เกิน 15,000.- บาท ฉะนั้นเงินสมทบที่จะต้องหัก ลูกจ้างไว้คือ 750.- และรวมกับส่วนของนายจ้างอีก 750.- เป็นเงิน 1,500.- ที่จะต้องนำส่งสำนักงานประกันสังคมภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ณ นำสำนักงานประกันสังคม หรือจ่ายชำระกับธนาคารที่เข้ารวมรายการกับสำนักงานประกันสังคมได้เลย
ถึงตรงนี้ต้องขอหยุดไว้ก่อนให้ทุกท่านผ่านมาได้อ่านแล้ว กลับไปดูสลิปเงินเดือนและค่าแรงที่ได้รับทุกสิ้นเดือนว่ายอดของเราถูกต้องตรงกันหรือเปล่า
ต้วมเตี้ยม