กู้ให้
ใครใคร่ค้าช้างค้าใครใคร่ค้าม้าค้า จูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย เป็นการเปิดเสรีทางการค้ามาที่มีมายาวนานตั้งแต่ในยุคอดีต น่าจะถือเป็นต้นแบบของการเปิดเสรีทางการค้าในโลกปัจจุบันได้เหมือนกันถือเป็นวิสัยทัศน์ที่ยอดมาก แต่พอถึงเวลาที่ต้องการเงินกู้ยืมทำไมกลายเป็นใครใคร่กู้ไม่ให้กู้ไปได้ละนี่ เรากล้าที่จะกู้แต่ทำไมไม่ค่อยกล้าที่จะให้เรากู้กันเลยละ วันๆ เห็นแต่นั่งคิดคำนวณและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกดอกหรือไม่ก็ขายประกันทุกประเภทที่มีให้เราเวลาเหยียบย่างท้าวเข้าไปในสำนักงานของพี่แบ๊งค์ อีกหน่อยคงมีค่าธรรมเนียมเดินเข้าแบ๊งค์ หรือไม่ก็เก็บค่าธรรมเนียมจากการฝากเงินแน่ๆ
ปัญหาเรื่องการขอสินเชื่อมันเหมือนไก่กับไข่จริงๆ เพราะเวลาที่จะเริ่มทำธุรกิจเสียงส่วนใหญ่พากันเชียร์ให้ตั้งบริษัทเพราะมันน่าเชื่อถือมากกว่าการทำธุรกิจในรูปบุคคลธรรมดา แต่ครั้นพอเวลาต้องการเงินกู้ยืมกลายเป็นว่าบริษัทฯ เปิดใหม่ยังไม่มั่นคงไม่น่าเชื่อถือไปซะงั้น ไม่ว่าจะเป็นเพิ่งเริ่มก่อตั้งยังไม่ถึง 2 ปี งบการเงินมีผลขาดทุนสะสม และอื่นๆ อีกหลายหลาก ลำเค็ญอยากบอกเพียงว่าหากงบฯ มันมีกำไรสะสม มีเงินมีทองกองท่วมหัวจะมากู้ทำม้าย
แต่ความอยากกู้มีมากกว่าความเซ็ง ทำให้ต้องเปิดโต๊ะเจรจากับพี่แบ๊งค์จนได้ข้อสรุปว่าให้ลำเค็ญกู้ในนามส่วนตัวและนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันการกู้ยืมได้ เพราะกรรมการมีฐานะและความน่าเชื่อถือดีกว่าบริษัทในช่วงเวลานี้ อนาคตหากใช้หนี้ดีตรงเวลา และกิจการเติบโตค่อยมากู้ในนามบริษัทฯ ได้สิบอกให้
กู้ก็กู้คือคำตอบสุดท้ายได้เงินมาสานต่อกิจการสมดังใจ แต่ปัญหายังคงไม่สิ้นสุดเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าจะเอาเงินกู้ที่ได้รับมาๆ ลงบัญชีได้อย่างไรเพราะมันเป็นการกู้ยืมในนามกรรมการ เงินที่ได้รับก็เข้าบัญชีกรรมการ ที่สำคัญดอกเบี้ยงวดแรกจะจ่ายกันอย่างไร หากให้บริษัทจ่ายก็คงมีข้อโต้แย้งกับพี่ชีแน่ๆ เงินออกได้แต่บันทึกไม่ได้จะกลายเป็น “ค่าใช้จ่ายต้องห้าม” ไปอีก ซึ่งก็ไม่รู้จะห้ามทำไมเพราะหากทำได้ก็ไม่อยากจ่ายหรอก
ปัญหาของลำเค็ญครั้งนี้ถือเป็นปัญหาร่วมสมัย โดยในอดีตที่ผ่านมา จะคิดเห็นตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่า
- กรรมการกู้ยืมเงินธนาคารไม่เกี่ยวกับบริษัท บันทึกไม่ได้
- เมื่อกรรมการนำเงินมาให้บริษัทกู้ยืมต่อ สามารถบันทึกเป็น เจ้าหนี้เงินกู้ยืมกรรมการได้
- ให้กรรมการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้เท่าหรือมากกว่าธนาคาร
- เมื่อบริษัทจ่ายดอกเบี้ยให้กับกรรมการต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย อัตรา 15%
- กรรมการนำดอกเบี้ย และเงินต้นชำระคืนธนาคารตามเงื่อนไข
- กรรมการมีสิทธิไม่นำดอกเบี้ยที่ได้รับไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ปัจจุบันบันปัญหานี้ได้รับการแก้ไขโดยละม่อม เอ๊ยคุณสรรพ์และคุณชีแล้ว เพราะทุกฝ่ายเล็งเห็นตรงกันว่าเนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ เมื่อการกู้ยืมเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ แต่ความสามารถในการกู้ยืมของกิจการด้อยกว่ากรรมการจึงต้องกู้ยืมในนามกรรมการแทน ถือว่าเป็นการกู้ยืมเงินของกิจการสามารถบันทึกบัญชีได้โหม้ดไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน, ดอกเบี้ยจ่าย, ชำระคืนเงินต้น ครบเซ็ท แต่ต้องมีหลักฐานในที่เกิดเหตุครบถ้วน
- มติที่ประชุมแจ้งความจำเป็นให้กรรมการไปกู้ธนาคารแทนกิจการ
- สัญญากู้เงินระหว่างธนาคารและกรรมการ
- สัญญากู้ยืมเงินระหว่างกรรมการกับกิจการ
- หลักฐานการรับเงินกู้ยืมเข้าบัญชีกิจการและการบันทึกเจ้าหนี้เงินกู้ยืม
- หลักฐานที่กิจการจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร
หากกาถูกทุกข้อ เอ๊ยทำได้ทุกข้อ จะสามารถบันทึกเงินกู้ยืมสถาบันการเงินในงบการเงินของกิจการได้ รวมถึงเวลาจ่ายชำระดอกเบี้ย เงินต้น ก็จ่ายชำระให้กับธนาคารโดยตรง และสามารถบันทึกดอกเบี้ยเป็นรายจ่ายของกิจการได้ตามปกติ กรรมการก็ไม่ต้องเสียภาษี 15% จากดอกเบี้ยที่ได้รับเหมือนอดีตที่ทำให้งบการเงินผิดรูปผิดร่าง โอกาสดีๆ แบบนี้มาถึงแล้วใครใคร่กู้ กู้โลด
ด้วยรัก
แสนดี